วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

งานแรกในลอนดอน


หลังจากมาลอนดอนได้สักสัปดาห์ เราก็เริ่มโทรหางานกันทันทีเนื่องจากเงินทุนการศึกษาที่แฟนผมได้รับมามีมาให้อย่างจำกัดสำหรับคนเดียว แต่นี่เรามากันสองคน แถมเงินที่นำติดตัวมาก็ไม่มากนัก ของผมเอามาประมาณแสนกว่าบาท ซึ่งไม่มากนักสำหรับการใช้ชีวิตในลอนดอนที่ค่าครองชีพสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก การหางานเป็นสิ่งหนึ่งที่จะมาช่วยให้เราไม่ต้องใช้เงินเก็บมากนัก และยังทำให้เรามีเงินเหลือพอที่จะไปเที่ยวกันทั้งในอังกฤษเองและประเทศในยุโรปได้ตั้งหลายทริป
          กลับมาที่การหางาน เนื่องจากลอนดอนเป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนมากมายทั้งที่เป็นคนที่อยู่อาศัยถาวรหรือนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงคนที่มาทำงานหรือเรียนซึ่งก็จะเป็นช่วงเวลาหนึ่ง สำหรับผู้ที่มาเรียนที่ลอนดอน ก็จะเป็นคนที่มาลงเรียนภาษา เรียนปริญญาโทและปริญญาเอกซะเป็นส่วนมาก สำหรับปริญญาตรีก็พอเห็นบ้างแต่ไม่มากนัก และในลอนดอนเองก็มีร้านอาหารไทยอยู่เป็นจำนวนมากเนื่องจากอาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนอังกฤษ และร้านอาหารไทยนี้เองก็เป็นที่ที่เด็กนักเรียนไทย (หรือไม่ใช่เด็กก็ตาม) จะมาสมัครทำงานกันมากที่สุดเพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ได้พูดภาษาไทยกันเลยมีความผ่อนคลายในเรื่องงานมากกว่า ส่วนทางร้านอาหารเองก็นิยมที่จะจ้างเด็กนักเรียนมาทำงานเพราะจะได้จ่ายค่าแรงในอัตราขั้นต่ำและเป็นการจ้างแบบ part-time ซึ่งจะไม่ยุ่งยากเท่ากับการจ้างงานแบบประจำที่จะต้องมีรายละเอียดและขั้นตอนในการจ้างงานเยอะกว่ามาก
          ผมใช้เวลาในการตะลุยโทรไปสอบถามกับทางร้านอาหารเพื่อสมัครงานอยู่เพียง 3-4 วันก็ได้งานทำสมใจ งานแรกในลอนดอนของผมก็คือ ผู้ช่วยเชฟ (หรือลูกน้องพ่อครัว) นั่นเองครับ งานที่รับผิดชอบก็คือ เป็น Starter Chef กับล้างจานเป็นหลักครับ สำหรับร้านอาหารไทยในลอนดอนมีหลายแบบ มีทั้งร้านใหญ่มีหลายสาขา ร้านใหญ่มีน้อยสาขาแต่ก็ขายดีมาก และร้านเล็กๆแบบเจ้าของคนเดียว (และส่วนมากเจ้าของก็จะเป็นคนทำเองด้วย)
          ผมได้ทำงานในร้านอาหารไทยใกล้ๆกับสถานีรถไฟใต้ดินฟูแล่มบรอดเวย์ (Fulham Broadway Tube station) เดินจากสถานีใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เป็นร้านเล็กๆมีพนักงานไม่มากนัก แต่ละวันก็จะมีเด็กเสิร์ฟ 1 คนดูแลหน้าร้านกับในครัวอีก 2 คน ดูแลเรื่องอาหาร ซึ่ง 2 คนในครัวนั้นก็คือ เชฟ (Chef) และผู้ช่วยเชฟนั่นเอง
          หน้าที่หลักของเชฟก็คือออกปรุงอาหารจานหลัก (Main course) ส่วนผู้ช่วยเชฟก็คือทำอาหารก่อนอาหารจานหลักหรือที่เรียกว่า Starter และช่วยเตรียมวัตถุดิบให้กับเชฟในการปรุงอาหารจานหลักบ้างบางรายการ และก็ล้างจานรวมถึงทำความสะอาดร้านก่อนกลับบ้าน รายละเอียดของงานจะไม่เหมือนกันในแต่ละร้าน จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆอีกพอสมควร (เดี๋ยวผมจะทยอยเล่าในครั้งต่อๆไปครับ)
          ผมได้งานแรกมาแบบรวดเร็วหลังจากที่ผมโทรเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง และบังเอิญว่าเค้าต้องการรับผู้ช่วยเชฟเพิ่มเพื่อไปทำงานอีกร้านหนึ่งที่เค้าเปิดเพิ่มมาพอดี ผมเลยได้งานทำในเย็นวันนั้นเลย (โทรคุยตอนบ่ายสอง เริ่มทำงานตอนห้าโมงเย็น) ทางเจ้าของร้านก็บอกคร่าวๆเรื่องการทำงานรวมถึงค่าแรง และโทรบอกเชฟให้แล้วว่าผมจะไปเริ่มงาน จริงๆแล้วคนที่รับผมเข้าทำงานไม่ใช่เจ้าของร้านหรอกครับ เป็นแม่เจ้าของร้าน เพราะก่อนหน้านี้ผมไปสมัครงานที่ร้านแรกของเจ้าของร้านและที่ร้านแรกนี้เองที่แม่ของเจ้าของร้านเค้าเป็นคนดูแลร้าน พอคุยกันทางแม่เจ้าของร้านเค้าคงอยากให้ผมได้งาน (คิดเอาเอง) แกก็เลยบอกกับทางเจ้าของร้านที่เป็นลูกสาวแกว่าให้รับผมเข้าทำงานที่ร้านที่สอง ผมเลยได้งานด้วยเหตุฉะนี้ (มั้ง ขอกราบขอบพระคุณคุณป้าอีกครั้งครับ :))
          ผมไปถึงร้านก่อนห้าโมงเล็กน้อย ความรู้สึกตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็ตื่นเต้นเล็กน้อยว่าจะเป็นอย่างไรเนื่องจากว่าเราไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้มาก่อนเลย (ที่เมืองไทยผมทำงานด้านไอที) พอไปถึงก็เจอน้องผู้หญิงคนนึงและเหมือนว่าเจ้าของร้านจะโทรมาบอกแล้วว่าจะมีคนมาทำงาน น้องผู้หญิงก็ต้อนรับดี แนะนำตัวกันนิดหน่อยและน้องเค้าก็บอกรายละเอียดร้านว่าเริ่มงานกี่โมง เลิกกี่โมง จะไปซื้อวัตถุดิบได้ที่ไหน (ปกติวัตถุดิบจะสั่งให้มาส่งที่ร้าน แต่ก็มีบางครั้งก็ไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ) แนะนำพี่ที่เป็นเชฟ ชื่อพี่พัน (เป็นเชฟที่ผมเคารพมากคนหนึ่ง ทั้งเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต) ทางร้านจะมีอาหารให้ 2 มื้อ คือประมาณห้าโมงเย็น จะมีอาหารให้ทานที่ร้าน พนักงานจะนั่งทานด้วยกัน และก่อนกลับบ้านก็จะมีอาหารให้ไปทานที่บ้านกันคนละกล่อง (Take away)
          และผมก็ได้ประสบการณ์ทำงานร้านอาหารอย่างเต็มตัว เป็นประสบการณ์ใหม่ที่หาไม่ได้จากเมืองไทยและเป็นประสบการณ์ที่สอนให้ผมรู้จักชีวิตมากขึ้นมากเลยทีเดียว การทำงานวันแรกของผมจบลงประมาณเกือบเที่ยงคืน ทุกอย่างที่ทำในวันแรกเหมือนแทบไม่ได้ทำเองสักอย่าง พี่พันจะเป็นคนทำให้ดู คอยอธิบายขั้นตอนทุกอย่าง รวมถึงช่วยทำความสะอาดร้านหลังปิดรับออร์เดอร์ลูกค้า ผมสัมผัสได้อย่างหนึ่งว่าพี่พันเป็นคนใจเย็นมาก แยกแยะออกระหว่างการไม่เห็นด้วยกับการรับคนของเจ้าของร้านกับการให้โอกาสเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ (อย่างผม) มาทำงาน
          ตอนเดินทางมาทีร้าน ผมนั่งรถไฟใต้ดินมา แต่ตอนกลับรถไฟใต้ดินหยุดให้บริการแล้ว ก็เลยต้องนั่งรถเมล์กลับ (รถเมล์ในลอนดอนมีวิ่งตลอดทั้งคืน แต่กลางคืนจะมีน้อยกว่ากลางวัน) ผมนั่งไปกับพี่พันเนื่องจากบ้านเราไปทางเดียวกัน แต่ผมจะถึงก่อน ระหว่างทางพี่พันก็เล่าให้ผมฟังเรื่องสัพเพเหระ การใช้ชีวิตในลอนดอน ถามเรื่องทั่วไปกับผมบ้าง แนะนำการใช้ชีวิตที่ลอนดอนให้ผมบ้าง
          สรุปคืองานที่แรกสำหรับผมเป็นอะไรที่ไม่รู้เรื่องเลย ทั้งขั้นตอนและรายละเอียด รวมทั้งประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ที่ได้มาคือมิตรภาพระหว่างพนักงานด้วยกัน พี่พันเป็นพี่ใหญ่ใจดีสำหรับน้องๆทุกคน ส่วนน้องผู้หญิงเด็กเสิร์ฟก็เป็นน้องที่น่ารักเป็นกันเอง ไม่หงุดหงิดกับผมหรือคนอื่นๆเลย

2

3

วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

3

..

กิจกรรมก่อนทำงาน


ชีวิตผมตอนนี้มีกิจวัตรประจำอยู่ 2 อย่างคือ เช้าไปเรียนภาษา จะเรียกว่าเช้าก็คงไม่ได้เพราะพอหมดคอร์สแรกแล้ว ผมก็ย้ายเวลาเรียนมาเรียนช่วงเที่ยงถึงบ่ายสาม ส่วนตอนเย็นผมก็ไปทำงานที่ร้านพี่ตู่ เข้าร้านประมาณห้าโมงไปถึงก่อนก็เกรงใจพี่เพรา เพราะไปถึงต้องเคาะประตูเรียกแกให้มาเปิดให้เผื่อแกจะงีบหลับเอาแรงบ้าง ฉะนั้น ผมก็จะมีเวลาว่างหลังเลิกเรียนภาษาประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะไปทำงานที่ร้านพี่ตู่ แล้วผมทำอะไรล่ะ
          โดยปกติหลังเลิกเรียนแล้วผมก็จะเตร็ดเต็ดเตร่เดินเล่นแถวที่ Westfield บ้างเพราะที่ผมเรียนอยู่ติดกับห้างเลยครับ ผมเรียนที่ English Studio สาขา Shepherd Bush ครับ สาขานี้อยู่ติดสถานีรถไฟใต้ดิน Shepherd Bush เลยครับ ถ้าเดินออกจากสถานีไปทางซ้ายก็จะเป็นทางเข้าห้าง Westfield ถ้าเดินมาทางขวาก็จะไป Shepherd Bush Market ที่เรียนภาษาที่ผมเรียนก็มาทางนี้ล่ะครับ แต่ออกจากสถานีแล้วเดินมาไม่ถึงนาทีก็ถึงแล้วครับ พอเรียนเสร็จผมก็เดินเล่นในห้างแล้วค่อยไปทำงาน แต่เดินเล่นได้ไม่กี่วันก็เบื่อครับ บางวันเพื่อนชาวญี่ปุ่นผมกก็ชวนไปนั่งเล่นกันที่สวนสาธารณะตรงข้ามที่เรียน ไปกันประมาณ 3-4 คน ซึ่งมีผมเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม ผมก็ไม่เข้าใจว่าจะมาชวนผมทำไม และก็ไม่เข้าใจอีกว่าแล้วผมก็ไปด้วยทำไมเหมือนกัน ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ก็คิดว่าไปนั่งเล่นฝึกภาษาอังกฤษกัน เพราะผมสังเกตว่าเพื่อนชาวญี่ปุ่นเค้าจะชอบพูดชอบคุยกับเพื่อนชาวรัสเซีย (จริงๆคนนี้มาจากประเทศที่แยกตัวมาจากรัสเซีย แต่ผมจำไม่ได้ .. แต่ถ้าผมจำได้เมื่อไหร่จะมาอัพเดตอีกทีนะครับ) เพื่อนคนนี้พูดภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดีทีเดียว สื่อสารได้เลยครับ
          แต่บางครั้งพอเรียนเสร็จ ผมก็จะรีบมาที่ร้านพี่ตู่เลย มาถึงก็ยังไม่เข้าร้านแต่ผมจะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะเล็กๆก่อนถึงร้านครับ ที่สวนนี้จะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านหรือเรียกว่าช่วงที่ผมไปเนี่ย แทบไม่ค่อยมีคนเลยก็ว่าได้ ผมก็นั่งเล่น คำว่านั่งเล่นของผมคือนั่งเฉยๆคิดอะไรไปเรือยเปื่อยครับ บางวันก็เอาหนังสือมานั่งอ่านบ้าง พอนั่งมากๆก็เมื่อยก็เลยเอนหลังลงไปนอนเล่นบ้าง พอชินหน่อยก็เลยพักสายตาเล่นๆบ้าง สุดท้ายผมก็เจอกิจกรรมก่อนทำงานตอนเย็นที่ดีมาก คือ นอนหลับก่อนทำงานครับ จริงๆแล้วเรียกว่างีบหลับเป็นพักๆจะดีกว่า ที่ประจำผมคือนอนใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินสูงหน่อย เป็นชัยภูมิที่ดีมาก สวนแห่งนี้มีบริเวณไม่มากนัก ในลอนดอนจะสังเกตเห็นสวนสาธารณะเล็กๆเป็นหย่อมเยอะมากครับ สวนนี้ก็เป็นอีกทีหนึ่งครับ แต่สวนนี้ต่างจากสวนอื่นอยู่เล็กน้อยเพราะมีลานสเก็ตบอร์ดให้วัยรุ่นมาเล่น มาฝึกซ้อมกันได้ ลานที่ว่านี้ไม่ใช้เป็นลานซีเมนต์โล่งๆครับ เป็นลานที่ทำเป็นที่โค้งๆลึกลงไปในดิน (ที่เป็นเหมือนให้นักสเก็ตเล่นซ้ายขวานะครับ)
          ผมมักจะตื่นตอนสี่โมงครึ่ง ถ้าไม่เพราะที่ที่ผมนอนหลับจะมีแสงส่องมาตามเวลานัด ก็จะเพราะมีเสียงดังมาจากลานสเก็ตเนื่องจากได้เวลาเล่นกันของเหล่าวัยรุ่นกัน ผมก็จะตื่นมานั่งดูเด็กๆเล่นกัน เพลินตาดีครับ มีทั้งพวกที่เล่นเก่งมาก เก่งเล็กน้อย จนถึงพวกมือใหม่หัดเล่น เด็กแถวนี้จะเป็นเด็กผิวสีซะเป็นส่วนใหญ่ (เห็นเด็กสิบคน เป็นผิวสีก็แปดเก้าคน ประมาณนั้น) แต่ก็มีเด็กขาวมาบ้าง และที่เห็นไม่ว่าจะเป็นเด็กขาวหรือเด็กผิวสีก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน ที่ไม่ได้มาด้วยกันก็จะต่างคนต่างเล่นกันไป ส่วนที่มาด้วยกันก็จะเล่นแบบโชว์กันไปในตัว คือ ใครเล่นเพื่อนก็จะนั่งดูยืนดู แล้วค่อยไปเล่น ก็สนุกดี ถามว่าอยากลองเล่นบ้างมั้ย ตอบทันทีเลยว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากล้มหัวฟาดพื้น ขอไปเล่นสกีเอาดีกว่า ล้มยังไงก็ไม่เจ็บ 55+
          พอสี่โมงครึ่งหรือสี่โมงสี่สิบห้า ก็ได้เวลาไปทำงานครับ จากสวนสาธารณะไปร้านพี่ตู่ถ้ารอรถเมล์ก็นั่งแค่ป้ายเดียว แต่ปกติผมมักจะเดินไปเลยครับ ถึงเร็วกว่าแล้วเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วยเลย เดินก็ประมาณห้านาทีเองครับ
          นี่แหละครับ กิจวัตรประจำวันของผมช่วงที่ทำงานที่ร้านพี่ตู่ครับ

ออกเดินทาง

.

           การได้ทุนเรียนต่อที่อังกฤษของแฟนผมนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นการได้ออกเดินทางต่างประเทศของผม ตอนนั้นเราแต่งงานกันได้ปีนึง พอแฟนผมได้ทุนมันก็ต้องเลือกเอาว่าจะตามเค้าไปอยู่ที่อังกฤษ หรือผมจะทำงานที่เมืองไทยก่อนค่อยตามเค้าไป เพราะตอนนั้นตำแหน่งก็เริ่มใหญ่โตขึ้นนิดนึง
แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าด้วยการมีชีวิตคู่ที่ดีก็ควรจะไป (เชื่อแฟนเจริญทุกคน 55+) ก็เลยได้มีโอกาสไปอังกฤษ ถามว่าผมได้วีซ่าอะไร แน่นอนสำหรับตัวแฟนผม เค้าได้วีซ่านักเรียน วีซ่าได้ 4 ปี (ที่อังกฤษตอนที่แฟนผมเรียน ในระดับปริญญาเอกจะเรียน 3 ปี) ส่วนผมได้วีซ่าผู้ติดตาม มันแตกต่างกันอย่างไร อย่างผมเนี่ยได้วีซ่าผู้ติดตามจะสามารถมีสิทธิ์ทำงานได้ Full time ไม่มีลิมิตในการทำงาน โดยปกติในประเทศอังกฤษ ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาแล้วต้องการทำงานพิเศษเนี่ย เค้าจะมีข้อกำหนดสำหรับชั่วโมงการทำงานให้ว่า ทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงหรือ 20 ชั่วโมงตามประเภทของนักเรียน เช่น นักเรียนที่เรียนภาษา จะทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนนักเรียนนักศึกษาที่เรียนในระดับปริญญาโทหรือเอก ก็จะทำงานได้มากหน่อยคือ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ประมาณนี้ ส่วนผมเป็นผู้ติดตามจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ส่วนวีซ่าจะได้เท่ากับนักเรียน คือ แฟนผมได้ 4 ปี ผมก็ได้วีซ่า 4 ปีเหมือนกัน (พอแฟนผมเรียนจบ ซึ่งจบก่อนวีซ่าจะหมด 1 ปี ก็ต้องทำเรื่องยกเลิกวีซ่า และผมก็ต้องยกเลิกไปด้วย)

          ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นนะมันยังไม่ได้คิดอะไรมากกว่า แต่เอาเข้าจริงจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงไม่ใช่ เพราะว่าเราต้องจากบ้านไปอยู่ในที่ที่ไกลมากๆ ซึ่งโดยปกติผมจะกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว (ผมกับแฟนทำงานในกรุงเทพฯ ซื้อบ้านที่ศาลายา บ้านแม่ผมอยู่ในตัวเมืองนครปฐม ส่วนบ้านแฟนอยู่บางปะกง) แต่ถามว่าอยากไปมั้ย ก็ตอบตรงว่าอยากไป พอดีผมกับแฟนเป็นคนชอบเที่ยว สำหรับคนชอบเที่ยวจะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มักเหมือนกันคือชอบไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่อันนี้เป็นประสบการณ์ใหม่อันยาวนานกว่าที่เคยคือ 3 ปี (สุดท้ายไม่ใช่ 3 ปีเต็ม แต่อยู่ที่อังกฤษปีครึ่งแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย 5 เดือนเพราะแฟนผมมาเก็บข้อมูลแล้วค่อยกลับไปเรี่ยนต่ออีกปีกว่าๆ)
          ที่ผมอยากไปเพราะว่า อย่างแรกคืออยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ อย่างที่สองคืออยากไปเรียนอะไรซักอย่าง ซึ่งพอมาวันนี้แล้วย้อนกลับไปคือ ผมน่าจะตั้งเป้าหมายจริงจังไปเลยว่า ปีแรกเรียนภาษา ปีที่สองเรียนปริญญาโท (อีกใบ) ไปเลยให้แน่ๆจะดีกว่า แต่ก็ช่างมัน ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
          เราเดินทางจากเมืองไทยไปเป็นวันที่กรุงเทพมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้มข้นมีการเผายางกันหลายจุดดูน่ากลัว พ่อแฟนก็เลยอยากให้เราเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิเร็วขึ้นกว่าเดิม จริงๆเราบินไฟล์ดึก ไฟล์ที่เราบินออกประมาณสี่ทุ่มกว่า แต่เราเดินทางไปถึงสนามบินกันตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆ
          ในวันเดินทางมีเพือนมาส่งผมด้วย 2 คนเป็นเพื่อนสนิทที่คบมาตั้งแต่ตอนเรียน ปวช. 1 คน กับตอนเรียนปริญญาตรีอีก 1 คน ปกติผมไม่ค่อยคบใครมากมาย (หรือไม่ค่อยมีคนคบ 55+) ก็เป็นมิตรภาพที่ประทับใจเหมือนกันเพราะสองคนนี้ก็เดินทางจากนครปฐมมาส่งผมที่สนามบินสุวรรณภูมิกันเลยทีเดียว
          เราก็เดินทางออกจากสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพพร้อมกับสัมภาระอันพะรุงพะรัง ตอนโหลดกระเป๋าน้ำหนักก็เกินอีกต่างหาก แต่ก็ผ่านพ้นมาด้วยดีโดยความช่วยเหลือของหลายๆคน เราใช้สายการบินเอทิฮัด จะไปเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ซึ่งผมคิดว่าดีมาก เพราะมันเป็นระยะทางตรงกลางระหว่างกรุงเทพ-ลอนดอนพอดี คือบินจากกรุงเทพมาอาบูดาบี และจากอาบูดาบีไปลอนดอน จะใช้เวลาใกล้เคียงกันคือ 6-7 ชั่วโมง แล้วยังได้เดินผ่อนคลายในสนามบินตอนเปลี่ยนเครื่องอีก (ผมไม่ค่อยชอบนั่งเครื่องนานๆ)
          สุดท้ายการเดินทางก็มาถึงลอนดอนกันอย่างปลอดภัย ลงเครื่องมาประมาณ 7 โมงเช้าเพื่อเข้าตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็เจอปัญหาแรกเลยคือ เราลืมใบตรวจโรคไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งตอนนี้กระเป๋าใบนั้นมันเข้าไปรอเราข้างในสนามบินเรียบร้อยแล้ว เอาแล้วสิ มายังไม่ทันได้เข้าประเทศเค้าเลยจะโดนส่งตัวกลับเลยเปล่าเนี่ย
          แล้วจะมาบอกในบทความหน้านะครับ เรื่องสนุกๆกำลังมาหลังจากนี้ครับ