แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าด้วยการมีชีวิตคู่ที่ดีก็ควรจะไป
(เชื่อแฟนเจริญทุกคน 55+) ก็เลยได้มีโอกาสไปอังกฤษ ถามว่าผมได้วีซ่าอะไร
แน่นอนสำหรับตัวแฟนผม เค้าได้วีซ่านักเรียน วีซ่าได้ 4 ปี
(ที่อังกฤษตอนที่แฟนผมเรียน ในระดับปริญญาเอกจะเรียน 3 ปี) ส่วนผมได้วีซ่าผู้ติดตาม
มันแตกต่างกันอย่างไร อย่างผมเนี่ยได้วีซ่าผู้ติดตามจะสามารถมีสิทธิ์ทำงานได้
Full time ไม่มีลิมิตในการทำงาน โดยปกติในประเทศอังกฤษ
ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาแล้วต้องการทำงานพิเศษเนี่ย เค้าจะมีข้อกำหนดสำหรับชั่วโมงการทำงานให้ว่า
ทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงหรือ 20 ชั่วโมงตามประเภทของนักเรียน เช่น
นักเรียนที่เรียนภาษา จะทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ส่วนนักเรียนนักศึกษาที่เรียนในระดับปริญญาโทหรือเอก ก็จะทำงานได้มากหน่อยคือ 20
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ประมาณนี้ ส่วนผมเป็นผู้ติดตามจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
ส่วนวีซ่าจะได้เท่ากับนักเรียน คือ แฟนผมได้ 4 ปี ผมก็ได้วีซ่า 4 ปีเหมือนกัน
(พอแฟนผมเรียนจบ ซึ่งจบก่อนวีซ่าจะหมด 1 ปี ก็ต้องทำเรื่องยกเลิกวีซ่า
และผมก็ต้องยกเลิกไปด้วย)
ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นนะมันยังไม่ได้คิดอะไรมากกว่า
แต่เอาเข้าจริงจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงไม่ใช่ เพราะว่าเราต้องจากบ้านไปอยู่ในที่ที่ไกลมากๆ
ซึ่งโดยปกติผมจะกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว
(ผมกับแฟนทำงานในกรุงเทพฯ ซื้อบ้านที่ศาลายา บ้านแม่ผมอยู่ในตัวเมืองนครปฐม
ส่วนบ้านแฟนอยู่บางปะกง) แต่ถามว่าอยากไปมั้ย ก็ตอบตรงว่าอยากไป พอดีผมกับแฟนเป็นคนชอบเที่ยว
สำหรับคนชอบเที่ยวจะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มักเหมือนกันคือชอบไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ
แต่อันนี้เป็นประสบการณ์ใหม่อันยาวนานกว่าที่เคยคือ 3 ปี (สุดท้ายไม่ใช่ 3 ปีเต็ม
แต่อยู่ที่อังกฤษปีครึ่งแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย 5
เดือนเพราะแฟนผมมาเก็บข้อมูลแล้วค่อยกลับไปเรี่ยนต่ออีกปีกว่าๆ)
ที่ผมอยากไปเพราะว่า
อย่างแรกคืออยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ อย่างที่สองคืออยากไปเรียนอะไรซักอย่าง
ซึ่งพอมาวันนี้แล้วย้อนกลับไปคือ ผมน่าจะตั้งเป้าหมายจริงจังไปเลยว่า
ปีแรกเรียนภาษา ปีที่สองเรียนปริญญาโท (อีกใบ) ไปเลยให้แน่ๆจะดีกว่า แต่ก็ช่างมัน
ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เราเดินทางจากเมืองไทยไปเป็นวันที่กรุงเทพมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้มข้นมีการเผายางกันหลายจุดดูน่ากลัว
พ่อแฟนก็เลยอยากให้เราเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิเร็วขึ้นกว่าเดิม จริงๆเราบินไฟล์ดึก
ไฟล์ที่เราบินออกประมาณสี่ทุ่มกว่า
แต่เราเดินทางไปถึงสนามบินกันตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆ
ในวันเดินทางมีเพือนมาส่งผมด้วย
2 คนเป็นเพื่อนสนิทที่คบมาตั้งแต่ตอนเรียน ปวช. 1 คน กับตอนเรียนปริญญาตรีอีก 1 คน
ปกติผมไม่ค่อยคบใครมากมาย (หรือไม่ค่อยมีคนคบ 55+)
ก็เป็นมิตรภาพที่ประทับใจเหมือนกันเพราะสองคนนี้ก็เดินทางจากนครปฐมมาส่งผมที่สนามบินสุวรรณภูมิกันเลยทีเดียว
เราก็เดินทางออกจากสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพพร้อมกับสัมภาระอันพะรุงพะรัง
ตอนโหลดกระเป๋าน้ำหนักก็เกินอีกต่างหาก
แต่ก็ผ่านพ้นมาด้วยดีโดยความช่วยเหลือของหลายๆคน เราใช้สายการบินเอทิฮัด
จะไปเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ซึ่งผมคิดว่าดีมาก
เพราะมันเป็นระยะทางตรงกลางระหว่างกรุงเทพ-ลอนดอนพอดี คือบินจากกรุงเทพมาอาบูดาบี
และจากอาบูดาบีไปลอนดอน จะใช้เวลาใกล้เคียงกันคือ 6-7 ชั่วโมง
แล้วยังได้เดินผ่อนคลายในสนามบินตอนเปลี่ยนเครื่องอีก
(ผมไม่ค่อยชอบนั่งเครื่องนานๆ)
สุดท้ายการเดินทางก็มาถึงลอนดอนกันอย่างปลอดภัย
ลงเครื่องมาประมาณ 7 โมงเช้าเพื่อเข้าตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็เจอปัญหาแรกเลยคือ
เราลืมใบตรวจโรคไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งตอนนี้กระเป๋าใบนั้นมันเข้าไปรอเราข้างในสนามบินเรียบร้อยแล้ว
เอาแล้วสิ มายังไม่ทันได้เข้าประเทศเค้าเลยจะโดนส่งตัวกลับเลยเปล่าเนี่ย
แล้วจะมาบอกในบทความหน้านะครับ
เรื่องสนุกๆกำลังมาหลังจากนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น