วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ออกเดินทาง

.

           การได้ทุนเรียนต่อที่อังกฤษของแฟนผมนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นการได้ออกเดินทางต่างประเทศของผม ตอนนั้นเราแต่งงานกันได้ปีนึง พอแฟนผมได้ทุนมันก็ต้องเลือกเอาว่าจะตามเค้าไปอยู่ที่อังกฤษ หรือผมจะทำงานที่เมืองไทยก่อนค่อยตามเค้าไป เพราะตอนนั้นตำแหน่งก็เริ่มใหญ่โตขึ้นนิดนึง
แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าด้วยการมีชีวิตคู่ที่ดีก็ควรจะไป (เชื่อแฟนเจริญทุกคน 55+) ก็เลยได้มีโอกาสไปอังกฤษ ถามว่าผมได้วีซ่าอะไร แน่นอนสำหรับตัวแฟนผม เค้าได้วีซ่านักเรียน วีซ่าได้ 4 ปี (ที่อังกฤษตอนที่แฟนผมเรียน ในระดับปริญญาเอกจะเรียน 3 ปี) ส่วนผมได้วีซ่าผู้ติดตาม มันแตกต่างกันอย่างไร อย่างผมเนี่ยได้วีซ่าผู้ติดตามจะสามารถมีสิทธิ์ทำงานได้ Full time ไม่มีลิมิตในการทำงาน โดยปกติในประเทศอังกฤษ ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาแล้วต้องการทำงานพิเศษเนี่ย เค้าจะมีข้อกำหนดสำหรับชั่วโมงการทำงานให้ว่า ทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงหรือ 20 ชั่วโมงตามประเภทของนักเรียน เช่น นักเรียนที่เรียนภาษา จะทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนนักเรียนนักศึกษาที่เรียนในระดับปริญญาโทหรือเอก ก็จะทำงานได้มากหน่อยคือ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ประมาณนี้ ส่วนผมเป็นผู้ติดตามจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ส่วนวีซ่าจะได้เท่ากับนักเรียน คือ แฟนผมได้ 4 ปี ผมก็ได้วีซ่า 4 ปีเหมือนกัน (พอแฟนผมเรียนจบ ซึ่งจบก่อนวีซ่าจะหมด 1 ปี ก็ต้องทำเรื่องยกเลิกวีซ่า และผมก็ต้องยกเลิกไปด้วย)

          ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นนะมันยังไม่ได้คิดอะไรมากกว่า แต่เอาเข้าจริงจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงไม่ใช่ เพราะว่าเราต้องจากบ้านไปอยู่ในที่ที่ไกลมากๆ ซึ่งโดยปกติผมจะกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว (ผมกับแฟนทำงานในกรุงเทพฯ ซื้อบ้านที่ศาลายา บ้านแม่ผมอยู่ในตัวเมืองนครปฐม ส่วนบ้านแฟนอยู่บางปะกง) แต่ถามว่าอยากไปมั้ย ก็ตอบตรงว่าอยากไป พอดีผมกับแฟนเป็นคนชอบเที่ยว สำหรับคนชอบเที่ยวจะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มักเหมือนกันคือชอบไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่อันนี้เป็นประสบการณ์ใหม่อันยาวนานกว่าที่เคยคือ 3 ปี (สุดท้ายไม่ใช่ 3 ปีเต็ม แต่อยู่ที่อังกฤษปีครึ่งแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย 5 เดือนเพราะแฟนผมมาเก็บข้อมูลแล้วค่อยกลับไปเรี่ยนต่ออีกปีกว่าๆ)
          ที่ผมอยากไปเพราะว่า อย่างแรกคืออยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ อย่างที่สองคืออยากไปเรียนอะไรซักอย่าง ซึ่งพอมาวันนี้แล้วย้อนกลับไปคือ ผมน่าจะตั้งเป้าหมายจริงจังไปเลยว่า ปีแรกเรียนภาษา ปีที่สองเรียนปริญญาโท (อีกใบ) ไปเลยให้แน่ๆจะดีกว่า แต่ก็ช่างมัน ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
          เราเดินทางจากเมืองไทยไปเป็นวันที่กรุงเทพมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้มข้นมีการเผายางกันหลายจุดดูน่ากลัว พ่อแฟนก็เลยอยากให้เราเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิเร็วขึ้นกว่าเดิม จริงๆเราบินไฟล์ดึก ไฟล์ที่เราบินออกประมาณสี่ทุ่มกว่า แต่เราเดินทางไปถึงสนามบินกันตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆ
          ในวันเดินทางมีเพือนมาส่งผมด้วย 2 คนเป็นเพื่อนสนิทที่คบมาตั้งแต่ตอนเรียน ปวช. 1 คน กับตอนเรียนปริญญาตรีอีก 1 คน ปกติผมไม่ค่อยคบใครมากมาย (หรือไม่ค่อยมีคนคบ 55+) ก็เป็นมิตรภาพที่ประทับใจเหมือนกันเพราะสองคนนี้ก็เดินทางจากนครปฐมมาส่งผมที่สนามบินสุวรรณภูมิกันเลยทีเดียว
          เราก็เดินทางออกจากสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพพร้อมกับสัมภาระอันพะรุงพะรัง ตอนโหลดกระเป๋าน้ำหนักก็เกินอีกต่างหาก แต่ก็ผ่านพ้นมาด้วยดีโดยความช่วยเหลือของหลายๆคน เราใช้สายการบินเอทิฮัด จะไปเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ซึ่งผมคิดว่าดีมาก เพราะมันเป็นระยะทางตรงกลางระหว่างกรุงเทพ-ลอนดอนพอดี คือบินจากกรุงเทพมาอาบูดาบี และจากอาบูดาบีไปลอนดอน จะใช้เวลาใกล้เคียงกันคือ 6-7 ชั่วโมง แล้วยังได้เดินผ่อนคลายในสนามบินตอนเปลี่ยนเครื่องอีก (ผมไม่ค่อยชอบนั่งเครื่องนานๆ)
          สุดท้ายการเดินทางก็มาถึงลอนดอนกันอย่างปลอดภัย ลงเครื่องมาประมาณ 7 โมงเช้าเพื่อเข้าตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็เจอปัญหาแรกเลยคือ เราลืมใบตรวจโรคไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งตอนนี้กระเป๋าใบนั้นมันเข้าไปรอเราข้างในสนามบินเรียบร้อยแล้ว เอาแล้วสิ มายังไม่ทันได้เข้าประเทศเค้าเลยจะโดนส่งตัวกลับเลยเปล่าเนี่ย
          แล้วจะมาบอกในบทความหน้านะครับ เรื่องสนุกๆกำลังมาหลังจากนี้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น