วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

งานแรกในลอนดอน


หลังจากมาลอนดอนได้สักสัปดาห์ เราก็เริ่มโทรหางานกันทันทีเนื่องจากเงินทุนการศึกษาที่แฟนผมได้รับมามีมาให้อย่างจำกัดสำหรับคนเดียว แต่นี่เรามากันสองคน แถมเงินที่นำติดตัวมาก็ไม่มากนัก ของผมเอามาประมาณแสนกว่าบาท ซึ่งไม่มากนักสำหรับการใช้ชีวิตในลอนดอนที่ค่าครองชีพสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก การหางานเป็นสิ่งหนึ่งที่จะมาช่วยให้เราไม่ต้องใช้เงินเก็บมากนัก และยังทำให้เรามีเงินเหลือพอที่จะไปเที่ยวกันทั้งในอังกฤษเองและประเทศในยุโรปได้ตั้งหลายทริป
          กลับมาที่การหางาน เนื่องจากลอนดอนเป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนมากมายทั้งที่เป็นคนที่อยู่อาศัยถาวรหรือนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงคนที่มาทำงานหรือเรียนซึ่งก็จะเป็นช่วงเวลาหนึ่ง สำหรับผู้ที่มาเรียนที่ลอนดอน ก็จะเป็นคนที่มาลงเรียนภาษา เรียนปริญญาโทและปริญญาเอกซะเป็นส่วนมาก สำหรับปริญญาตรีก็พอเห็นบ้างแต่ไม่มากนัก และในลอนดอนเองก็มีร้านอาหารไทยอยู่เป็นจำนวนมากเนื่องจากอาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนอังกฤษ และร้านอาหารไทยนี้เองก็เป็นที่ที่เด็กนักเรียนไทย (หรือไม่ใช่เด็กก็ตาม) จะมาสมัครทำงานกันมากที่สุดเพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ได้พูดภาษาไทยกันเลยมีความผ่อนคลายในเรื่องงานมากกว่า ส่วนทางร้านอาหารเองก็นิยมที่จะจ้างเด็กนักเรียนมาทำงานเพราะจะได้จ่ายค่าแรงในอัตราขั้นต่ำและเป็นการจ้างแบบ part-time ซึ่งจะไม่ยุ่งยากเท่ากับการจ้างงานแบบประจำที่จะต้องมีรายละเอียดและขั้นตอนในการจ้างงานเยอะกว่ามาก
          ผมใช้เวลาในการตะลุยโทรไปสอบถามกับทางร้านอาหารเพื่อสมัครงานอยู่เพียง 3-4 วันก็ได้งานทำสมใจ งานแรกในลอนดอนของผมก็คือ ผู้ช่วยเชฟ (หรือลูกน้องพ่อครัว) นั่นเองครับ งานที่รับผิดชอบก็คือ เป็น Starter Chef กับล้างจานเป็นหลักครับ สำหรับร้านอาหารไทยในลอนดอนมีหลายแบบ มีทั้งร้านใหญ่มีหลายสาขา ร้านใหญ่มีน้อยสาขาแต่ก็ขายดีมาก และร้านเล็กๆแบบเจ้าของคนเดียว (และส่วนมากเจ้าของก็จะเป็นคนทำเองด้วย)
          ผมได้ทำงานในร้านอาหารไทยใกล้ๆกับสถานีรถไฟใต้ดินฟูแล่มบรอดเวย์ (Fulham Broadway Tube station) เดินจากสถานีใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เป็นร้านเล็กๆมีพนักงานไม่มากนัก แต่ละวันก็จะมีเด็กเสิร์ฟ 1 คนดูแลหน้าร้านกับในครัวอีก 2 คน ดูแลเรื่องอาหาร ซึ่ง 2 คนในครัวนั้นก็คือ เชฟ (Chef) และผู้ช่วยเชฟนั่นเอง
          หน้าที่หลักของเชฟก็คือออกปรุงอาหารจานหลัก (Main course) ส่วนผู้ช่วยเชฟก็คือทำอาหารก่อนอาหารจานหลักหรือที่เรียกว่า Starter และช่วยเตรียมวัตถุดิบให้กับเชฟในการปรุงอาหารจานหลักบ้างบางรายการ และก็ล้างจานรวมถึงทำความสะอาดร้านก่อนกลับบ้าน รายละเอียดของงานจะไม่เหมือนกันในแต่ละร้าน จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆอีกพอสมควร (เดี๋ยวผมจะทยอยเล่าในครั้งต่อๆไปครับ)
          ผมได้งานแรกมาแบบรวดเร็วหลังจากที่ผมโทรเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง และบังเอิญว่าเค้าต้องการรับผู้ช่วยเชฟเพิ่มเพื่อไปทำงานอีกร้านหนึ่งที่เค้าเปิดเพิ่มมาพอดี ผมเลยได้งานทำในเย็นวันนั้นเลย (โทรคุยตอนบ่ายสอง เริ่มทำงานตอนห้าโมงเย็น) ทางเจ้าของร้านก็บอกคร่าวๆเรื่องการทำงานรวมถึงค่าแรง และโทรบอกเชฟให้แล้วว่าผมจะไปเริ่มงาน จริงๆแล้วคนที่รับผมเข้าทำงานไม่ใช่เจ้าของร้านหรอกครับ เป็นแม่เจ้าของร้าน เพราะก่อนหน้านี้ผมไปสมัครงานที่ร้านแรกของเจ้าของร้านและที่ร้านแรกนี้เองที่แม่ของเจ้าของร้านเค้าเป็นคนดูแลร้าน พอคุยกันทางแม่เจ้าของร้านเค้าคงอยากให้ผมได้งาน (คิดเอาเอง) แกก็เลยบอกกับทางเจ้าของร้านที่เป็นลูกสาวแกว่าให้รับผมเข้าทำงานที่ร้านที่สอง ผมเลยได้งานด้วยเหตุฉะนี้ (มั้ง ขอกราบขอบพระคุณคุณป้าอีกครั้งครับ :))
          ผมไปถึงร้านก่อนห้าโมงเล็กน้อย ความรู้สึกตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็ตื่นเต้นเล็กน้อยว่าจะเป็นอย่างไรเนื่องจากว่าเราไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้มาก่อนเลย (ที่เมืองไทยผมทำงานด้านไอที) พอไปถึงก็เจอน้องผู้หญิงคนนึงและเหมือนว่าเจ้าของร้านจะโทรมาบอกแล้วว่าจะมีคนมาทำงาน น้องผู้หญิงก็ต้อนรับดี แนะนำตัวกันนิดหน่อยและน้องเค้าก็บอกรายละเอียดร้านว่าเริ่มงานกี่โมง เลิกกี่โมง จะไปซื้อวัตถุดิบได้ที่ไหน (ปกติวัตถุดิบจะสั่งให้มาส่งที่ร้าน แต่ก็มีบางครั้งก็ไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ) แนะนำพี่ที่เป็นเชฟ ชื่อพี่พัน (เป็นเชฟที่ผมเคารพมากคนหนึ่ง ทั้งเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต) ทางร้านจะมีอาหารให้ 2 มื้อ คือประมาณห้าโมงเย็น จะมีอาหารให้ทานที่ร้าน พนักงานจะนั่งทานด้วยกัน และก่อนกลับบ้านก็จะมีอาหารให้ไปทานที่บ้านกันคนละกล่อง (Take away)
          และผมก็ได้ประสบการณ์ทำงานร้านอาหารอย่างเต็มตัว เป็นประสบการณ์ใหม่ที่หาไม่ได้จากเมืองไทยและเป็นประสบการณ์ที่สอนให้ผมรู้จักชีวิตมากขึ้นมากเลยทีเดียว การทำงานวันแรกของผมจบลงประมาณเกือบเที่ยงคืน ทุกอย่างที่ทำในวันแรกเหมือนแทบไม่ได้ทำเองสักอย่าง พี่พันจะเป็นคนทำให้ดู คอยอธิบายขั้นตอนทุกอย่าง รวมถึงช่วยทำความสะอาดร้านหลังปิดรับออร์เดอร์ลูกค้า ผมสัมผัสได้อย่างหนึ่งว่าพี่พันเป็นคนใจเย็นมาก แยกแยะออกระหว่างการไม่เห็นด้วยกับการรับคนของเจ้าของร้านกับการให้โอกาสเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ (อย่างผม) มาทำงาน
          ตอนเดินทางมาทีร้าน ผมนั่งรถไฟใต้ดินมา แต่ตอนกลับรถไฟใต้ดินหยุดให้บริการแล้ว ก็เลยต้องนั่งรถเมล์กลับ (รถเมล์ในลอนดอนมีวิ่งตลอดทั้งคืน แต่กลางคืนจะมีน้อยกว่ากลางวัน) ผมนั่งไปกับพี่พันเนื่องจากบ้านเราไปทางเดียวกัน แต่ผมจะถึงก่อน ระหว่างทางพี่พันก็เล่าให้ผมฟังเรื่องสัพเพเหระ การใช้ชีวิตในลอนดอน ถามเรื่องทั่วไปกับผมบ้าง แนะนำการใช้ชีวิตที่ลอนดอนให้ผมบ้าง
          สรุปคืองานที่แรกสำหรับผมเป็นอะไรที่ไม่รู้เรื่องเลย ทั้งขั้นตอนและรายละเอียด รวมทั้งประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ที่ได้มาคือมิตรภาพระหว่างพนักงานด้วยกัน พี่พันเป็นพี่ใหญ่ใจดีสำหรับน้องๆทุกคน ส่วนน้องผู้หญิงเด็กเสิร์ฟก็เป็นน้องที่น่ารักเป็นกันเอง ไม่หงุดหงิดกับผมหรือคนอื่นๆเลย

2

3

วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1

2

3

4

5

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

3

..

กิจกรรมก่อนทำงาน


ชีวิตผมตอนนี้มีกิจวัตรประจำอยู่ 2 อย่างคือ เช้าไปเรียนภาษา จะเรียกว่าเช้าก็คงไม่ได้เพราะพอหมดคอร์สแรกแล้ว ผมก็ย้ายเวลาเรียนมาเรียนช่วงเที่ยงถึงบ่ายสาม ส่วนตอนเย็นผมก็ไปทำงานที่ร้านพี่ตู่ เข้าร้านประมาณห้าโมงไปถึงก่อนก็เกรงใจพี่เพรา เพราะไปถึงต้องเคาะประตูเรียกแกให้มาเปิดให้เผื่อแกจะงีบหลับเอาแรงบ้าง ฉะนั้น ผมก็จะมีเวลาว่างหลังเลิกเรียนภาษาประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะไปทำงานที่ร้านพี่ตู่ แล้วผมทำอะไรล่ะ
          โดยปกติหลังเลิกเรียนแล้วผมก็จะเตร็ดเต็ดเตร่เดินเล่นแถวที่ Westfield บ้างเพราะที่ผมเรียนอยู่ติดกับห้างเลยครับ ผมเรียนที่ English Studio สาขา Shepherd Bush ครับ สาขานี้อยู่ติดสถานีรถไฟใต้ดิน Shepherd Bush เลยครับ ถ้าเดินออกจากสถานีไปทางซ้ายก็จะเป็นทางเข้าห้าง Westfield ถ้าเดินมาทางขวาก็จะไป Shepherd Bush Market ที่เรียนภาษาที่ผมเรียนก็มาทางนี้ล่ะครับ แต่ออกจากสถานีแล้วเดินมาไม่ถึงนาทีก็ถึงแล้วครับ พอเรียนเสร็จผมก็เดินเล่นในห้างแล้วค่อยไปทำงาน แต่เดินเล่นได้ไม่กี่วันก็เบื่อครับ บางวันเพื่อนชาวญี่ปุ่นผมกก็ชวนไปนั่งเล่นกันที่สวนสาธารณะตรงข้ามที่เรียน ไปกันประมาณ 3-4 คน ซึ่งมีผมเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม ผมก็ไม่เข้าใจว่าจะมาชวนผมทำไม และก็ไม่เข้าใจอีกว่าแล้วผมก็ไปด้วยทำไมเหมือนกัน ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ก็คิดว่าไปนั่งเล่นฝึกภาษาอังกฤษกัน เพราะผมสังเกตว่าเพื่อนชาวญี่ปุ่นเค้าจะชอบพูดชอบคุยกับเพื่อนชาวรัสเซีย (จริงๆคนนี้มาจากประเทศที่แยกตัวมาจากรัสเซีย แต่ผมจำไม่ได้ .. แต่ถ้าผมจำได้เมื่อไหร่จะมาอัพเดตอีกทีนะครับ) เพื่อนคนนี้พูดภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดีทีเดียว สื่อสารได้เลยครับ
          แต่บางครั้งพอเรียนเสร็จ ผมก็จะรีบมาที่ร้านพี่ตู่เลย มาถึงก็ยังไม่เข้าร้านแต่ผมจะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะเล็กๆก่อนถึงร้านครับ ที่สวนนี้จะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านหรือเรียกว่าช่วงที่ผมไปเนี่ย แทบไม่ค่อยมีคนเลยก็ว่าได้ ผมก็นั่งเล่น คำว่านั่งเล่นของผมคือนั่งเฉยๆคิดอะไรไปเรือยเปื่อยครับ บางวันก็เอาหนังสือมานั่งอ่านบ้าง พอนั่งมากๆก็เมื่อยก็เลยเอนหลังลงไปนอนเล่นบ้าง พอชินหน่อยก็เลยพักสายตาเล่นๆบ้าง สุดท้ายผมก็เจอกิจกรรมก่อนทำงานตอนเย็นที่ดีมาก คือ นอนหลับก่อนทำงานครับ จริงๆแล้วเรียกว่างีบหลับเป็นพักๆจะดีกว่า ที่ประจำผมคือนอนใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินสูงหน่อย เป็นชัยภูมิที่ดีมาก สวนแห่งนี้มีบริเวณไม่มากนัก ในลอนดอนจะสังเกตเห็นสวนสาธารณะเล็กๆเป็นหย่อมเยอะมากครับ สวนนี้ก็เป็นอีกทีหนึ่งครับ แต่สวนนี้ต่างจากสวนอื่นอยู่เล็กน้อยเพราะมีลานสเก็ตบอร์ดให้วัยรุ่นมาเล่น มาฝึกซ้อมกันได้ ลานที่ว่านี้ไม่ใช้เป็นลานซีเมนต์โล่งๆครับ เป็นลานที่ทำเป็นที่โค้งๆลึกลงไปในดิน (ที่เป็นเหมือนให้นักสเก็ตเล่นซ้ายขวานะครับ)
          ผมมักจะตื่นตอนสี่โมงครึ่ง ถ้าไม่เพราะที่ที่ผมนอนหลับจะมีแสงส่องมาตามเวลานัด ก็จะเพราะมีเสียงดังมาจากลานสเก็ตเนื่องจากได้เวลาเล่นกันของเหล่าวัยรุ่นกัน ผมก็จะตื่นมานั่งดูเด็กๆเล่นกัน เพลินตาดีครับ มีทั้งพวกที่เล่นเก่งมาก เก่งเล็กน้อย จนถึงพวกมือใหม่หัดเล่น เด็กแถวนี้จะเป็นเด็กผิวสีซะเป็นส่วนใหญ่ (เห็นเด็กสิบคน เป็นผิวสีก็แปดเก้าคน ประมาณนั้น) แต่ก็มีเด็กขาวมาบ้าง และที่เห็นไม่ว่าจะเป็นเด็กขาวหรือเด็กผิวสีก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน ที่ไม่ได้มาด้วยกันก็จะต่างคนต่างเล่นกันไป ส่วนที่มาด้วยกันก็จะเล่นแบบโชว์กันไปในตัว คือ ใครเล่นเพื่อนก็จะนั่งดูยืนดู แล้วค่อยไปเล่น ก็สนุกดี ถามว่าอยากลองเล่นบ้างมั้ย ตอบทันทีเลยว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากล้มหัวฟาดพื้น ขอไปเล่นสกีเอาดีกว่า ล้มยังไงก็ไม่เจ็บ 55+
          พอสี่โมงครึ่งหรือสี่โมงสี่สิบห้า ก็ได้เวลาไปทำงานครับ จากสวนสาธารณะไปร้านพี่ตู่ถ้ารอรถเมล์ก็นั่งแค่ป้ายเดียว แต่ปกติผมมักจะเดินไปเลยครับ ถึงเร็วกว่าแล้วเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วยเลย เดินก็ประมาณห้านาทีเองครับ
          นี่แหละครับ กิจวัตรประจำวันของผมช่วงที่ทำงานที่ร้านพี่ตู่ครับ

ออกเดินทาง

.

           การได้ทุนเรียนต่อที่อังกฤษของแฟนผมนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นการได้ออกเดินทางต่างประเทศของผม ตอนนั้นเราแต่งงานกันได้ปีนึง พอแฟนผมได้ทุนมันก็ต้องเลือกเอาว่าจะตามเค้าไปอยู่ที่อังกฤษ หรือผมจะทำงานที่เมืองไทยก่อนค่อยตามเค้าไป เพราะตอนนั้นตำแหน่งก็เริ่มใหญ่โตขึ้นนิดนึง
แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าด้วยการมีชีวิตคู่ที่ดีก็ควรจะไป (เชื่อแฟนเจริญทุกคน 55+) ก็เลยได้มีโอกาสไปอังกฤษ ถามว่าผมได้วีซ่าอะไร แน่นอนสำหรับตัวแฟนผม เค้าได้วีซ่านักเรียน วีซ่าได้ 4 ปี (ที่อังกฤษตอนที่แฟนผมเรียน ในระดับปริญญาเอกจะเรียน 3 ปี) ส่วนผมได้วีซ่าผู้ติดตาม มันแตกต่างกันอย่างไร อย่างผมเนี่ยได้วีซ่าผู้ติดตามจะสามารถมีสิทธิ์ทำงานได้ Full time ไม่มีลิมิตในการทำงาน โดยปกติในประเทศอังกฤษ ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาแล้วต้องการทำงานพิเศษเนี่ย เค้าจะมีข้อกำหนดสำหรับชั่วโมงการทำงานให้ว่า ทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงหรือ 20 ชั่วโมงตามประเภทของนักเรียน เช่น นักเรียนที่เรียนภาษา จะทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนนักเรียนนักศึกษาที่เรียนในระดับปริญญาโทหรือเอก ก็จะทำงานได้มากหน่อยคือ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ประมาณนี้ ส่วนผมเป็นผู้ติดตามจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ส่วนวีซ่าจะได้เท่ากับนักเรียน คือ แฟนผมได้ 4 ปี ผมก็ได้วีซ่า 4 ปีเหมือนกัน (พอแฟนผมเรียนจบ ซึ่งจบก่อนวีซ่าจะหมด 1 ปี ก็ต้องทำเรื่องยกเลิกวีซ่า และผมก็ต้องยกเลิกไปด้วย)

          ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นนะมันยังไม่ได้คิดอะไรมากกว่า แต่เอาเข้าจริงจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงไม่ใช่ เพราะว่าเราต้องจากบ้านไปอยู่ในที่ที่ไกลมากๆ ซึ่งโดยปกติผมจะกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว (ผมกับแฟนทำงานในกรุงเทพฯ ซื้อบ้านที่ศาลายา บ้านแม่ผมอยู่ในตัวเมืองนครปฐม ส่วนบ้านแฟนอยู่บางปะกง) แต่ถามว่าอยากไปมั้ย ก็ตอบตรงว่าอยากไป พอดีผมกับแฟนเป็นคนชอบเที่ยว สำหรับคนชอบเที่ยวจะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มักเหมือนกันคือชอบไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่อันนี้เป็นประสบการณ์ใหม่อันยาวนานกว่าที่เคยคือ 3 ปี (สุดท้ายไม่ใช่ 3 ปีเต็ม แต่อยู่ที่อังกฤษปีครึ่งแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย 5 เดือนเพราะแฟนผมมาเก็บข้อมูลแล้วค่อยกลับไปเรี่ยนต่ออีกปีกว่าๆ)
          ที่ผมอยากไปเพราะว่า อย่างแรกคืออยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ อย่างที่สองคืออยากไปเรียนอะไรซักอย่าง ซึ่งพอมาวันนี้แล้วย้อนกลับไปคือ ผมน่าจะตั้งเป้าหมายจริงจังไปเลยว่า ปีแรกเรียนภาษา ปีที่สองเรียนปริญญาโท (อีกใบ) ไปเลยให้แน่ๆจะดีกว่า แต่ก็ช่างมัน ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
          เราเดินทางจากเมืองไทยไปเป็นวันที่กรุงเทพมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้มข้นมีการเผายางกันหลายจุดดูน่ากลัว พ่อแฟนก็เลยอยากให้เราเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิเร็วขึ้นกว่าเดิม จริงๆเราบินไฟล์ดึก ไฟล์ที่เราบินออกประมาณสี่ทุ่มกว่า แต่เราเดินทางไปถึงสนามบินกันตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆ
          ในวันเดินทางมีเพือนมาส่งผมด้วย 2 คนเป็นเพื่อนสนิทที่คบมาตั้งแต่ตอนเรียน ปวช. 1 คน กับตอนเรียนปริญญาตรีอีก 1 คน ปกติผมไม่ค่อยคบใครมากมาย (หรือไม่ค่อยมีคนคบ 55+) ก็เป็นมิตรภาพที่ประทับใจเหมือนกันเพราะสองคนนี้ก็เดินทางจากนครปฐมมาส่งผมที่สนามบินสุวรรณภูมิกันเลยทีเดียว
          เราก็เดินทางออกจากสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพพร้อมกับสัมภาระอันพะรุงพะรัง ตอนโหลดกระเป๋าน้ำหนักก็เกินอีกต่างหาก แต่ก็ผ่านพ้นมาด้วยดีโดยความช่วยเหลือของหลายๆคน เราใช้สายการบินเอทิฮัด จะไปเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ซึ่งผมคิดว่าดีมาก เพราะมันเป็นระยะทางตรงกลางระหว่างกรุงเทพ-ลอนดอนพอดี คือบินจากกรุงเทพมาอาบูดาบี และจากอาบูดาบีไปลอนดอน จะใช้เวลาใกล้เคียงกันคือ 6-7 ชั่วโมง แล้วยังได้เดินผ่อนคลายในสนามบินตอนเปลี่ยนเครื่องอีก (ผมไม่ค่อยชอบนั่งเครื่องนานๆ)
          สุดท้ายการเดินทางก็มาถึงลอนดอนกันอย่างปลอดภัย ลงเครื่องมาประมาณ 7 โมงเช้าเพื่อเข้าตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็เจอปัญหาแรกเลยคือ เราลืมใบตรวจโรคไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งตอนนี้กระเป๋าใบนั้นมันเข้าไปรอเราข้างในสนามบินเรียบร้อยแล้ว เอาแล้วสิ มายังไม่ทันได้เข้าประเทศเค้าเลยจะโดนส่งตัวกลับเลยเปล่าเนี่ย
          แล้วจะมาบอกในบทความหน้านะครับ เรื่องสนุกๆกำลังมาหลังจากนี้ครับ

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เที่ยว : London Eye ลอนดอน อาย

หากต้องการชมวิวกรุงลอนดอน ริมแม่น้ำเทมส์ (The River Thames) แบบพาโนรามา 360 องศาสุดสายตา และบางมุมก็มีรัฐสภาอังกฤษและหอนาฬิกา บิ๊กเบน รวมถึงโบสถ์เวสต์มินสเตอร์อันเก่าแก่เป็นฉากหลัง ในหลายๆมุมด้วยกันแล้วละก็ อย่าลืมแวะขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์แห่งลอนดอน หรือ ลอนดอน อาย (London Eye)  เป็นอันขาด

ลอนดอน อาย (London Eye) ชิงช้าสวรรค์ยักษ์แห่งกรุงลอนดอน สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ในการเริ่มเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ (ปี ค.ศ. 2000) โดยมีความสูง 135 เมตร เส้นรอบวง 424 เมตร มีแคปซูลรองรับผู้ใช้บริการ 32 แคปซูล และจุผู้คนได้ 25 คนต่อแคปซูล โดยในการขึ้นชมวิวนั้น จะใช้เวลารอบละ 30 นาทีโดยประมาณ

การขึ้น ลอนดอน อาย (London Eye) นั้นต้องซื้อตั๋วก่อน ที่อาคารตรงข้ามกับตัวชิงช้าสวรรค์ ซึ่งบางเวลา อาจมีผู้คนจำนวนมากรอต่อคิว ทั้งซื้อตั๋วและคิวขึ้นชิงช้าเลยเชียวล่ะ ราคาตั๋วมีหลายราคา ควรติดตามในเว็บไซต์ https://www.londoneye.com/tickets-and-prices/ ซึ่งจะมีตั๋วอยู่หลายแบบ มีหลายแพ็คแก็จให้เลือกสรร เช่น ถ้าเป็นตั๋วแบบปกติ ใช้ในการขึ้น ลอนดอน อาย ชมวิวเท่านั้น จะมีราคาประมาณ 22.45 ปอนด์ (ราคาอาจจะขยับขึ้น ให้เช็คกับเว็บไซต์ก่อนจองนะ) แต่ถ้าต้องการต่อคิวซื้อตั๋วแบบเร็ว (Fast Track) ราคาก็จะเพิ่มขึ้น หรือถ้าต้องการชมวิว โดยการล่องเรือเพิ่มด้วย ราคาก็จะขยับเพิ่มขึ้นไปอีกหน่อย เราสามารถใช้ตั๋วอื่นๆ ในการขึ้น ลอนดอน อาย ได้ด้วยนะครับ เช่น The London Pass หรือถ้าเราใช้ตั๋ว Travel Card ก็สามารถใช้คูปอง 2 For 1 Offers in London ในนั้นจะมีโปรโมชั่น ลดราคาค่าตั๋วขึ้น ลอนดอน อาย (มาสองคน จ่ายคนเดียว)  

เมื่อต่อคิวซื้อตั๋วเพื่อขึ้น ลอนดอน อายมาแล้ว เราสามารถนำตั๋ว ไปชมภาพยนตร์ 4 มิติ (4D) ได้ฟรี ก่อนที่จะไปเข้าคิวขึ้นลอนดอน อายนะครับ แนะนำให้ดู รับรองว่าสนุก ตื่นเต้นเหมือนกันครับ ใช้เวลาฉายไม่นาน หลังจากนั้นก็ไปต่อคิวขึ้นลอนดอน อาย ได้เลยครับ

ตอนชมวิวบนลอนดอน อาย ก็เป็นบรรยากาศอีกแบบ ผมว่าเหมือนมันได้ลอยอยู่กลางอากาศเลย มองโน้นมองนี่ ทั้งใกล้และไกล ดูตื่นตาตื่นใจ มองทางไหนก็สวยไปหมด เพราะชิงช้าจะค่อยๆหมุนขึ้นไปช้าๆ ทำให้เราได้เห็นมุมมองทั้งมุมต่ำและมุมสูงเลย ผมขึ้นช่วงบ่ายครับ มองเห็นภาพได้ไกลและชัดเจนดี แต่บางคนเค้าก็เลือกขึ้นสองเวลาเลยนะครับ ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน เพราะจะได้บรรยากาศแตกต่างกัน ซึ่งผมดูรูปแล้วก็สวยดีครับ ใครมีเวลาก็แนะนำเลย  

ลอนดอน อาย อยู่ใกล้กับบิ๊กเบน เพียงแค่อยู่คนละฟากแม่น้ำเทมส์ โดยถ้าใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็ลงที่สถานีเวสต์มินเตอร์ แล้วเดินข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์มาอีกฟากแม่น้ำได้เลย ไม่หลงแน่นอน เพราะถ้าเจอบิ๊กเบน ก็จะเจอลอนดอน อายอย่างแน่นอน ช่วงเดินข้ามสะพาน บางครั้งก็จะมีชายแต่งตัวชุดชาวสก๊อต ยืนเป่าปี่สก๊อตให้ฟังตรงกลางสะพานด้วย ขึ้นลอนดอน อายแล้วเดินย้อนมาที่สะพานเวสต์มินสเตอร์ แล้วข้ามไปอีกฝั่งถนน ก็จะได้ภาพวิวอาคารรัฐสภาอังกฤษกับบิ๊กเบน อยู่ริมแม่น้ำเทมส์ ก็สวยไปอีกมุมหนึ่งครับ


.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เที่ยว : Big Ben and Houses of Parliament

หอนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์หรือแลนด์มาร์คสำคัญ ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุดในอังกฤษ มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปและในโลก รวมถึงเป็นที่ที่ผู้คนต้องมาถ่ายรูปด้วยเมื่อมาถึง ลอนดอน คงจะต้องมีชื่อ หอนาฬิกา บิ๊กเบน (Big Ben) รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

บิ๊กเบน (Big Ben) เป็นหอนาฬิกา ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 150 ปีก่อน สำหรับเป็นเครื่องบอกเวลา ซึ่งจะส่งเสียงก้องกังวานทุกๆชั่วโมง ส่วนชื่อนั้น บ้างก็บอกว่าตั้งชื่อตามขนาดของระฆัง ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมาก ที่อยู่ภายในหอนาฬิกา มีน้ำหนักกว่า 14 ตัน (ประมาณ 13,760 กิโลกรัม) บ้างก็บอกว่า ตั้งตามชื่อของผู้จัดสร้าง คือ เบนจามิน ฮอลล์ (Benjamin Hall) ส่วนสถาปนิกผู้ออกแบบ คือ ชาร์ล แบรรี่ (Charles Barry) มีความสูง 96 เมตร ในส่วนของหน้าปัด (และระฆังที่อยู่ภายใน) จะติดตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 55 เมตร หน้าปัดนาฬิกาจะมีทั้ง 4 ด้านเลยอีกด้วย โดยแต่ละหน้าปัดจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 เมตร

หอนาฬิกา บิ๊กเบน นี้เป็นสิ่งก่อสร้างหนึ่ง ที่อยู่ในพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ทำการของรัฐสภาอังกฤษ (Houses of Parliament) ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ (The River Thames) ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำ เวสต์มินสเตอร์ (Westminster Bridge)

บิ๊กเบน มีประวัติศาสตร์อันโชกโชนคู่ ลอนดอน มายาวนาน ในเวลากลางวัน บิ๊กเบน สูงเด่นเป็นสง่า สวยงามมาก ส่วนในเวลากลางคืนก็จะมีการเปิดไฟในส่วนของหน้าปัดนาฬิกาด้วย ทำให้เราสามารถเห็น บิ๊กเบน จากที่ไกลๆได้ เช่น จตุรัสทราฟัลการ์ (Trafalgar Square) แต่มีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ได้มีการพรางไฟ บิ๊กเบน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตและหลบเลี่ยงจากการโจมตีทางอากาศจากศัตรู

เราสามารถชมความงามของ บิ๊กเบน ได้ทั้งระยะใกล้มาก โดยเฉพาะถ้าใครเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งสถานีที่ใกล้ที่สุดก็คือ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เวสต์มินสเตอร์ นั่นเอง ให้ออกตรง ทางออก 2 (ทางออกจะมีหลายทางให้สังเกตป้ายบอกทางก่อนออก) เดินขึ้นบันไดมา ก็จะอยู่ตรงหัวสะพานเวสต์มินสเตอร์ มองไปอีกฝั่งก็จะเห็น บิ๊กเบน อยู่เบื้องหน้าในระยะใกล้มาก ส่วนใครต้องการจะเห็นในระยะใกล้หรือไกลแค่ไหน ก็สามารถเลือกมุมได้ตามอัธยาศัยเลย ไม่ว่าจะเดินข้ามไปอีกฝั่งแม่น้ำ หรือเดินไปฝั่งโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ ก็สวยงามทั้งนั้นเลย

ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น เอลิซาเบธ ทาวเวอร์ (Elizabeth Tower) เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เนื่องในโอกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเรียกว่า บิ๊กเบน อาจเป็นเพราะคุ้นหูกันมากกว่า         

.                           


เรียน : เรียนภาษาที่ ลอนดอน

ถ้าต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้เป๊ะเว่อร์ พูดสำเนียงอังกฤษแท้ แถมได้วัฒนธรรมผู้ดีอังกฤษ หลายคนต้องนึกถึงประเทศอังกฤษ และในหลายๆคน ก็คงนึกถึง ลอนดอน เป็นแน่แท้ ทำไมต้องที่อังกฤษ และทำไมต้องลอนดอน ตอบเลยว่า ก็ประเทศอังกฤษเป็นต้นแบบการใช้ภาษาอังกฤษ เรียนทั้งทีก็ต้องมาเรียนที่ประเทศแม่เลยดีกว่ามั้ย อืม.. แล้วทำไมต้องลอนดอน ตอบ ลอนดอนเป็นเมืองหลวง คราคร่ำไปด้วยผู้คนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย มหาวิทยาลัยก็มีเป็นจำนวนมากพอสมควร การเดินทาง การใช้ชีวิตก็สะดวกสบาย อืม.. อันนี้ก็ถูกครับ

แต่จริงๆแล้ว ตามความคิดของผม ถ้าเป้าหมายคือต้องการมีความรู้ภาษาอังกฤษ จริงๆแล้วปัจจุบันนี้ เรียนที่ไหนก็ได้ครับ บางคนเรียนผ่านยูทูปอยู่กับบ้าน ก็ประสบความสำเร็จเหมือนกันนะ

แต่ถ้าอยากมีประสบการณ์การใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย ต้องการใช้ชีวิตที่แวดล้อมด้วยสังคม วัฒนธรรมแบบอังกฤษ ก็คงต้องหาที่เรียนที่ไม่ใช่ลอนดอนแล้วล่ะ เพราะในลอนดอนเอง เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม ฉะนั้น ถ้าอยากได้อะไรที่เป็นอังกฤษแท้ต้องตามหาในต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองใหญ่อย่างลอนดอนแล้วล่ะ อยู่เมืองเล็กๆ ผู้คนไม่พลุกพล่าน เวลาจะเดินช้ากว่าในลอนดอน (คือผู้คน บรรยากาศจะดำเนินไปแบบไม่รีบร้อนมากนัก)

แต่ถ้าต้องการสื่อสารภาษาอังกฤษได้แบบผสมผสาน คือ สำเนียงผู้คนที่ใช้ภาษาอังกฤษมีหลากหลาย ทั้งสำเนียงอังกฤษแท้ สำเนียงแขก สำเนียงคนดำ สำเนียงอเมริกาใต้ หรือสำเนียงเอเชียอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่สำเนียงไทยๆของเราก็ตาม  ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะมาเรียน มาใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอนเป็นอย่างมาก เพราะสำเนียงทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ลอนดอนได้จัดให้คุณอย่างสาสมใจเลยที่เดียว ที่สำคัญ ถ้าต้องการที่จะฝึกสำเนียงไหนเป็นพิเศษก็สามารถไปเที่ยวตามแหล่งได้เลย (แต่ระวัง บางที่ก็ยังไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก) รวมถึงการเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ระดับโลกอย่างลอนดอน ซึ่งมีความเจริญแทบจะทุกด้าน การคมนาคม การเดินทางที่แสนจะสะดวกสบาย (แต่ก็แพงเอาการอยู่) แหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายประเภท และแหล่งพาเพลินในเวลากลางคืน คุณจะได้สนุกกับการฝึกใช้ภาษาอังกฤษอย่างเพลิดเพลิน ลืมประเทศไทยเลยทีเดียว

          ฉะนั้นถ้ามา ลอนดอน จะได้ประสบการณ์มากมาย ไม่ใช่แค่ประสบการณ์การใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้นแน่นอน ลอนดอน จะมีบทเรียนสอนคุณหลายอย่างมาก เช่น การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนหลายหลายเชื้อชาติ การเอาตัวรอดในหลายๆสถานการณ์ การแก้ไขปัญหาทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว และประสบการณ์อันสวยงามน่าจดจำ รวมถึงประสบการณ์ที่ควรบอกเตือนคนอื่นก่อนที่จะมาใช้ชีวิตที่ลอนดอน 

          ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ แต่สำหรับผม ผมก็ยังเห็นว่าลอนดอนมีด้านที่สวยงามมากกว่าด้านมืดเยอะมากครับ 

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เที่ยว : Trafalgar Square จตุรัสทราฟัลการ์

        ใครไปเที่ยว ลอนดอน สถานที่นึงที่ต้องไปเลย ก็คือ Trafalgar Square จตุรัสทราฟัลการ์ ที่ตั้งอยู่ใจกลางลอนดอน เป็นจุดเริ่มต้นกิโลเมตรที่ศูนย์ของกรุงลอนดอน เป็นสแควร์ที่มีผู้คนมุ่งหน้ามาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ

Trafalgar Square อยู่ไม่ไกลจากรัฐสภาอังกฤษและหอนาฬิกาบิ๊กเบน สามารถเดินมาได้เลย ถือว่าเดินเล่นชมบรรยากาศ ในแต่ละปีจะมีการจัดงานอยู่เป็นระยะๆ ของไทยเราก็เคยจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่นี่ด้วยนะครับ มีการออกงานของร้านอาหารไทย มีการแสดงศิลปะ นาฏศิลป์ไทยให้ชาวต่างชาติได้ชมด้วยครับ 

จะบอกว่า สำนักงานการท่องเที่ยวไทยในลอนดอน ก็อยู่เยื้องๆกับทราฟัลการ์ สแควร์นี่เอง อยู่ใกล้กับร้านอาหารไทยชื่อ ไทยสแควร์ สังเกตง่ายๆ คือ หันหน้าเข้าสแควร์ จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ เลยป้ายรถเมล์ไปนิดนึงครับ

เนื่องจากจัตุรัสทราฟัลการ์อยู่ใจกลางกรุงลอนดอน จึงแวดล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ด้านหลังของจัตุรัสก็จะเป็น National Portrait Gallery กับ National Gallery ใกล้ๆกันก็จะมีโบสถ์ St.Martin in the fields และเราสามารถเดินผ่านไป เลสเตอร์สแควร์ ได้อีกด้วยครับ คนที่ไม่รู้ก็อาจจะต้องนั่งรถเมล์หรือรถไฟใต้ดิน (ที่นี่เรียกว่า Tube) แต่ผมแนะนำว่าเดินไปสะดวกกว่า ใกล้นิดเดียว ที่รู้เพราะเพื่อนชาวจีนของผมพาเดินครับ ก่อนอื่นก็ไปยืนอยู่หน้า National Portrait Gallery หันหน้าเข้านะครับ จากนั้นก็เดินเลาะไปทางซ้าย จะเจอทางเดินข้างๆ ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงเลสเตอร์สแควร์ ขอบอกว่าใกล้กันมากครับ ส่วนใครไม่สะดวกเดินก็สามารถขึ้นรถเมล์ได้ครับ จะมีป้ายรถเมล์อยู่ทางด้านขวาของ Gallery นั่นเอง หลายคนคงสงสัยว่า แล้วทำไมต้องแนะนำทางไป เลสเตอร์ สแควร์ ด้วย คำตอบก็คือ มันเป็นทางที่จะไป SOHO หรือไชน่าทาวน์ นั่นเอง ซึ่งที่ไชน่าทาวน์ ก็จะมีอาหารจีน อาหารไทย ของกินของใช้นานาชนิดที่คนไทยที่นี่ มาจับจ่ายซื้อของกันบ่อยๆน่ะครับ (ตอนมาลอนดอนใหม่ๆ ผมก็ซื้อข้าวหอมมะลิจากร้านค้าที่นี่ไปหุงกินเหมือนกัน ผลไม้ไทยเราก็มีเพียบ ทุเรียนยังมีเลยล่ะ

สำหรับจัตุรัสทราฟัลการ์นี้ จะมีประติมากรรมหลายอย่าง ทั้งอนุสาวรีย์ น้ำพุสวยๆ เหล่าสิงโตตัวใหญ่ น่าเกรงขาม และที่เด่นสุดคือเสาปูนต้นเดี่ยว สูงตระหง่านสะดุดตา ถ้าเงยหน้าขึ้นไปดูตรงยอดบนสุดของเสา ก็จะเห็นประติมากรรมปูนปั้นรูปคนชื่อ พลเรือโท ลอร์ดเนลสัน ทำไมถึงมีรูปลอร์ดเนลสันที่นี่ แล้วเค้าเป็นคนสำคัญยังไง ถึงกับต้องให้เกียรติสร้างรูปปั้นไว้ ณ ที่นี้ ที่เป็นใจกลางลอนดอนเลย 

เหตุผลเพราะว่า พลเรือโทลอร์ดเนลสัน ผู้นี้เป็นผู้กำชัยชนะให้อังกฤษ ในการรบระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสได้นั่นเอง เหตุการณ์สำคัญคือ ลอร์ดเนลสันเป็นผู้นำกองทัพเรืออังกฤษต่อสู้กับกองทัพเรือผสม (ฝรั่งเศสกับสเปน) บริเวณใกล้แหลมทราฟัลการ์ ประเทศสเปน ซึ่งการรบครั้งนั้น อังกฤษเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ทั้งจำนวนเรือ จำนวนปืนในเรือ และกำลังพล มีเพียงประสบการณ์การรบทางทะเลอันช่ำชองของทหารเรืออังกฤษและความชาญฉลาดในการวางแผนการรบของนายพลลอร์ดเนลสันผู้นี้ ทำให้กองทัพเรืออังกฤษมีชัยชนะในการรบ แต่ถึงกระนั้น ชัยชนะครั้งนั้นก็ต้องแลกด้วยชีวิตของลอร์ดเนลสันเอง ซึ่งเสียชีวิตลงในเวลาสามชั่วโมงต่อมา หลังจากทราบผลว่า กองเรืออังกฤษรบชนะกองเรือผสมฝรั่งเศส-สเปน และจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับให้แก่กองทัพเรืออังกฤษในครั้งนั้นของฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสไม่มีกองกำลังทางเรือมากพอที่จะมาต่อสู้กับอังกฤษ โดยในการรบครั้งนั้น เชื่อหรือไม่ว่า กองทัพเรืออังกฤษไม่เสียเรือรบเลยสักลำ ส่วนกองกำลังผสมฝรั่งเศส-สเปน โดนโจมตีจนเรือรบอับปางไปไม่น้อย ส่วนเรือรบที่เหลือก็โดนทางอังกฤษยึด รวมถึงสูญเสียไพร่พลทหารไปเป็นจำนวนมาก และด้วยความกล้าหาญและเสียสละของท่าน จึงได้มีอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงท่าน ณ ที่่นี้นั่นเอง

กลับมาที่จตุรัส ในช่วงหน้าร้อนของที่นี่ ถ้ามีพยากรณ์อากาศว่ามีแดด เราก็จะเห็นผู้คนสวมใส่ชุดสบายๆ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น มานั่งเล่นที่นี่เยอะมาก เนื่องจากอังกฤษ ถึงจะเป็นหน้าร้อน แต่ก็ไม่ค่อยมีแดดเท่าไหร่ วันไหนที่รู้ว่าแดดจะออก วันนั้นเราก็จะเห็นสีสันของผู้คนมากขึ้นจากการสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นนี่แหละครับ

          บ่อยครั้งที่ผมปีนขึ้นไปนั่งเล่นตรงฐานเสาลอร์ดเนลสัน ซึ่งจะมีรูปปั้นสิงโตสูงใหญ่ 4 ตัว เด่นเป็นสง่าอยู่ที่มุมฐานเสาด้านละตัวทั้งสี่ด้าน ผมชอบขึ้นไปนั่งดูบิ๊กเบนอยู่บ่อยครั้ง นั่งทีละนานๆ ดูวิว ดูคนไปเรื่อย แนะนำว่าซื้ออะไรไปนั่งกินด้วยจะดีมาก เราสามารถนั่งได้ทั้งสี่ด้าน ด้านที่นิยมนั่งคือ ด้านที่หันหน้าเข้าหา Gallery ซึ่งจะได้เห็นบรรยากาศรอบๆ มีผู้คน เดิน นั่ง ถ่ายรูป เด็กๆวิ่งเล่นกัน รวมถึงสถาปัตยกรรมของอาคาร Gallery แต่ที่ยอดนิยมเลยคือ ด้านตรงข้าม ซึ่งเราจะได้เห็นบิ๊กเบน เห็นตึกอาคารสองฝั่งถนน  ยิ่งถ้ามาช่วงเวลาใกล้พระอาทิตย์ตกเลยไปจนมืด เราจะได้บรรยากาศทั้งกลางวันและพลบค่ำ สวยอีกแบบนึง

          ส่วนสิงโตทั้งสี่ด้าน ก็จะมีผู้คนไปเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ทุกคนหมายมั่นเพื่อที่จะไปขี่ตัวสิงโต ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่บางคนปีนได้ บางคนก็อยู่แค่หาง จนแล้วจนรอดก็ขึ้นไม่ได้ แต่ผมเห็นสัจธรรมข้อหนึ่งได้เป็นอย่างดีเลยว่า ถ้ามีความพยายามและใจสู้ยังไงก็ต้องสำเร็จ ผมเห็นผู้ใหญ่หลายคนพยายามจะปีน แต่ก็ขึ้นไม่ได้สักที เนื่องจากตัวสิงโตมีขนาดใหญ่และลื่น ไม่มีทีเหยียบเพื่อให้ขึ้นได้ง่ายๆ การขึ้นจะต้องโอบบั้นท้ายสิงโต แล้วค่อยๆเขยิบตัวขึ้นไป จนสามารถหาที่ยึดได้ ก็จะสามารถปีนต่อได้จนได้ขี่หลังสิงโต ผู้ใหญ่หลายคนพยายามขึ้นสักสองสามรอบแล้วยังขึ้นไม่ได้ ก็จะเลิกแล้วไปเที่ยวชมที่อื่น แต่ผมเห็นเด็กๆหลายคนเลย ที่พยายามขึ้นอยู่หลายรอบมาก บางคนก็สามารถขึ้นได้ในสองสามรอบแรกเท่านั้น แต่บางคนก็อาจจะมากกว่านั้น บางคนลองหลายรอบแล้วยังไม่ได้ ก็หยุดพักแล้วลองปีนใหม่ สุดท้ายแล้วเด็กพวกนี้ก็ขึ้นได้เกือบทุกคนเลย สงสัยเด็กจะจดจ่อและมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยากได้มากจริงเลย

ถ้าไปลอนดอนแล้ว อย่าลืมไปลองปีนสิงโตที่ จตุรัสทราฟัลการ์ (Trafalgar Square) ดูกันสักหน่อย อย่างน้อย ถ้าปีนไม่ได้ ก็อย่าลืมนั่งชมวิวสวยๆนะครับ

.